Value Creation หัวใจหลักสินค้าและบริการในยุคอนาคต
Value Creation หัวใจหลักของสินค้าและบริการในยุคอนาคต
ปัจจุบันการแข่งขันในธุรกิจไม่ว่าจะเป็นภายในประเทศ
และต่างประเทศถือว่ารุนแรงอย่างมาก
ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่ผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ประกอบการที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีขนาดธุรกิจตั้งแต่ขนาดกลางและขนาดย่อม
หรือ SME จะต้องสร้างความแตกต่างและหาจุดเด่นให้กับสินค้าและบริการ
เพื่อให้แข่งขันกันกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ซึ่งการเพิ่มมูลค่า หรือ Value Product ให้กับตัวสินค้าและบริการอย่างเดียวคงไม่พอ
จำเป็นจะต้องเพิ่ม Value Creation ลงไปด้วย
Value Creation หมายถึงอะไร
Value Creation หมายถึงการใส่ความคิดสร้างสรรค์ที่มาจากทักษะ
ประวัติศาสตร์ ประเพณี ผสมผสานกันออกมา เพื่อสร้างความได้เปรียบในเชิงเปรียบเทียบได้
ยกตัวอย่างเช่น ในอำเภอหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส ชื่อว่า “แชมเปญ”
มีความได้เปรียบในเชิงเปรียบเทียบ ด้วยพื้นที่ตั้งอยู่บนเส้นลองจิจูด
และละติจูดที่ดวงอาทิตย์จะส่องแสงลงมายังภูเขา 3 ลูก จึงทำให้พื้นที่ดังกล่าวราคาที่ดินไม่เคยตก
เพราะเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการปลูกองุ่นซึ่งเป็นวัตถุดิบ
เพื่อผลิตเหล้าแชมเปญและไวน์ที่ได้รสชาติดีที่สุดในโลก
ด้วยความรู้จากการศึกษากระบวนการหมัก เพื่อผลิตแชมเปญเฉพาะท้องถิ่น
ซึ่งเป็นการนำความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบมาผสมกับความรู้ ส่งผลทำให้เกิดแชมเปญ
ที่กระบวนการผลิตแชมเปญจากสถานที่อื่นๆ
ไม่สามารถมีรสชาติเทียบเท่าและไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ เป็นต้น
เมื่อหลายสิบปีก่อนหลายประเทศได้นำระบบ Value Creation
Economy หรือ ระบบเศรษฐกิจที่ใช้กระบวนการสร้างสรรค์ใส่คุณค่าลงไปในสินค้าและบริการ
ซึ่งจากการวัดผล ปรากฏว่ามีผลดีกว่าระบบเศรษฐกิจที่มีอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าจำนวนมากๆ
โดยตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือ ระบบเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา
และญี่ปุ่น เป็นรูปแบบการผลิตสินค้าจำนวนมากๆ (Mass Production) จนกระทั่งไต้หวัน และเกาหลีได้นำระบบดังกล่าวมาทำตาม จนทำให้เกิดการแข่งขัน
และตัดราคากันเองในเวลาต่อมา
ดังนั้นผลจากกระบวนการผลิตสินค้าจำนวนมาก
ไม่ได้ช่วยให้เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาดีขึ้น จะเห็นได้จากในปี 2547
ในสหรัฐฯ มีอัตราว่างงาน 6% ชนชั้นกลางรายได้ลดลง 8% อีกทั้งมีช่องว่างของรายได้ระหว่างผู้บริหารระดับสูง (CEO) 10 อันดับแรกห่างไกลจากคนสหรัฐฯ ทั่วไปถึง 1,000 เท่า
ขณะที่ระบบเศรษฐกิจของประเทศจีน หลังจากทำการเปิดประเทศในปี
2536
ได้เข้าไปสร้างส่วนแบ่งในตลาดโลกอย่างมาก ระยะแรกสามารถสร้างกำไรในสินค้าได้ 4.5% แต่ขณะนี้ลดลงมาเหลือ 1.5%
เป็นผลมาจากการผลิตสินค้าชนิดเดียวกันและขายแข่งตัดราคากันเอง
และสถานการณ์ขณะนี้ถ้าประเทศจีนผลิตสินค้าใดแล้ว
คนอื่นก็ไม่สามารถผลิตแข่งขันได้อีก เพราะจีนมีค่าแรงที่ถูกอย่างไม่มีใครแข่งขันได้
มาถึงระบบเศรษฐกิจอิตาลี มีประชากร 50
ล้านคน ใกล้เคียงกับไทย แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือคนอิตาลี มีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปี
26,760 ดอลลาร์สหรัฐฯ มีความเป็นอยู่ดีกว่าคนไทย 4 เท่า เพราะคนไทยมีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีเพียง 7,450 ดอลลาร์สหรัฐฯ
เหตุผลสำคัญที่ทำให้คนอิตาลีมีความเป็นอยู่ที่ดี
เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แต่อยู่ในอุตสาหกรรมแฟชั่น
อุตสาหกรรมบริการ เช่นเดียวกับฝรั่งเศส
เพราะคนของอิตาลีมีทักษะบวกกับการสืบทอดความชำนาญ
มีรากฐานความเป็นมาในการผลิตสินค้า
เช่นเดียวกับประเทศเดนมาร์ก มีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปี 31,210
ดอลลาร์สหรัฐฯ สูงกว่าประเทศไทย แต่เดนมาร์กมีประชากรเพียง 6
ล้านคนซึ่งใกล้เคียงกับลาว ถ้าลองเปรียบเทียบเดนมาร์กกับลาว
พบว่าลาวที่มีรายได้ต่อคนต่อปีเพียง 1,700 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ต่างกับเดนมาร์กลิบลับ
เมื่อมาสรุปทั้งหมดจะพบว่า ความเป็นอยู่ที่ดีของคนอิตาลีและคนเดนมาร์ก
มาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีกระบวนการสร้างราคาและคุณค่าของสินค้าและบริการ
นั่นคือ value creation และแตกต่างจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
และจีนที่ยังเป็นระบบการผลิตจำนวนมาก
Value Creation แตกต่างจาก
Value Added
Value Added หมายถึง มูลค่าของผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นในแต่ละขั้นตอนการผลิต
จนถึงการจำหน่าย โดยกระบวนการของ Value Added เป็นการนำเทคโนโลยีของคนอื่นมาเป็นการผลิตสินค้าเหมือนๆ
กันกับของคนอื่นในที่สุดก็ขายตัดราคากัน เช่น ประเทศไทยนำเทคโนโลยีผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นเข้ามา
และผลิตขายเพื่อส่งออกไปยังประเทศต่างๆ แต่คนที่ได้เงินมากกลับเป็นเจ้าของผู้ออกแบบดีไซน์
และเจ้าของเทคโนโลยี นั่นคือ ญี่ปุ่น ส่วนคนไทยได้เงินเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์
ความหมายของ Value Creation คือ
การใช้ความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบของประเทศ
หรือการนำจุดแข็งของประเทศที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เช่น นำความถนัดในเรื่องต่างๆ ของคนไทยมาสร้างสรรค์ผลิตสินค้า
และบริการ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างเหมาะสม ถ้าทำได้ก็จะเกิดสินค้าและบริการที่ยากต่อการลอกเลียนแบบของคนอื่นๆ
เพราะเป็นสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติของเรา หรือสืบทอดภูมิปัญญากันมาในที่สุดจะทำให้เกิดสินค้าที่มีคุณค่า
และสร้างราคาให้สูงได้ตามความต้องการไม่มีใครสามารถมาแข่งขันหรือตัดราคาได้
อีกหนึ่งตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น
มีปลาชนิดหนึ่งในทะเลดำ ประเทศอิหร่าน ปลาชนิดนี้สีดำจึงทำเกิดงานวิจัยที่พัฒนาต่อยอดขึ้นมาในประเทศอิหร่าน
คือ งานวิจัยเรื่องไข่ปลาคาร์เวีย ที่ราคาแพงมากๆ ว่ามีคุณประโยชน์อย่างไร หรือในประเทศญี่ปุ่น
ที่เมืองโออิตะ ซึ่งประเทศไทยไปนำเอากระบวนการผลิตสินค้าภายใต้
โครงการหนึ่งหมู่บ้าน หนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือ One Village One Product : OVOP ของเมืองนี้มาดัดแปลงเป็นโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือโอทอป
โดยชาวบ้านในเมืองโออิตะมีวิธีสังเกตเห็นปลาชนิดหนึ่งที่ชอบว่ายทวนน้ำ
ปรากฏว่าปลาชนิดนี้มีเนื้อเต่งตึงและรสชาติอร่อยมาก หลังจากนั้นก็เกิดวิธีการเลี้ยงปลาแบบใหม่ด้วยการให้อาหารล่อให้ปลาว่ายทวนน้ำ
จึงได้เนื้อปลาที่อร่อยและขายในราคาแพงมากๆ นอกจากนั้นชาวบ้านดังกล่าวยังรู้วิธีเอาปลาไปขายในตลาดด้วยได้ใช้วิธีฝังเข็มก่อนเพื่อให้ปลานอนหลับขณะขนส่ง
เพราะมีความรู้ว่า หากไปทำให้ปลาตกใจ และดิ้นไปดิ้นมา
เนื้อปลาจะไม่อร่อยและเสียราคา ซึ่งวิธีดังกล่าวเรียกว่า Value Creation
สร้างคุณค่าใหม่ให้กับสินค้าไทย
สินค้าและบริการจากประเทศไทยเริ่มต้นมาจากการนำความคิดสร้างสรรค์แบบดั้งเดิม
และพื้นฐานของทักษะที่อยู่บนทรัพย์สินทางวัฒนธรรม
มาผสมกับความรู้การคิดค้นทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
นำไปเพิ่มการแข่งขันการเชิงเปรียบเทียบเพื่อให้โดดเด่นยิ่งขึ้น เช่น นวดแผนไทย
ซึ่งเป็นสินค้าบริการที่ประเทศไทยมีทักษะฝีมือที่ชำนาญ และถ่ายทอดกันมาแต่ดั้งเดิม
เมื่อนำเข้ามาใส่ในธุรกิจสปา ได้ช่วยสร้างคุณค่าให้กับนวดแผนไทยมากขึ้น
มีราคาสูงขึ้น และถือเป็น Value Creation
สิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการของไทยควรจะทำเพิ่มขึ้น คือ
การนำเอากระบวนการคิดค้นทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ เช่น
ต่อไปต้องมีการคิดค้นน้ำมันนวดที่เป็นกลิ่นพิเศษเฉพาะของลูกค้าแต่ละคน
ที่ผ่านกระบวนการวิจัยมาแล้วว่าเป็นกลิ่นที่เหมาะสมกับลูกค้าคนนั้นมากที่สุด
เพียงเท่านี้ก็จะดึงเงินจำนวนมากจากกระเป๋าเศรษฐีทั้งหลายได้ หรือผลิตภัณฑ์ยี่ห้อ The Ocean Glass เดิมใช้วิธีผลิตแก้วน้ำจำนวนมากๆ แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่ ด้วยการใช้วิธีใส่ดีไซน์ลงไป
ทำให้ขายได้ราคาแพงขึ้น
ยกตัวอย่างที่เป็น Value Creation ของคนไทยที่ชาติอื่นไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ คือ ภาพยนตร์ไทยเรื่อง “องค์บาก” ที่นำศิลปะการต่อสู้มวยไทยมาผสมผสานกับความเป็นคนภาคอีสานที่มีอารมณ์ขัน
ซึ่งประสบความสำเร็จมากในประเทศไทย ปรากฏว่ามีผู้กำกับหนังชาวฝรั่งเศส ชื่อ “ลุค เบซง” ได้นำ “องค์บาก”
ไปตัดต่อใหม่เป็นเวอร์ชั่นฝรั่งเศส เพื่อให้ตรงกับรสนิยมของคนฝรั่งเศสและอังกฤษ
ซึ่งถือเป็นการสร้าง value creation on top of value creation
จากนั้นก็ได้นำภาพยนตร์ดังกล่าวไปฉายในฝรั่งเศส อังกฤษ
และสหรัฐฯ จนได้รับการตอบรับอย่างดี โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐฯ
นั้นเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ถึง 387 แห่ง
ส่วนในฝรั่งเศสได้เรตติ้งระดับ 7.2 จนกระทั่งมีผู้สร้างภาพยนตร์ในฝรั่งเศสหัวใสได้สร้างภาพยนตร์ใหม่ขึ้นมา
เพื่อเลียนแบบ “องค์บาก” โดยใช้ชื่อว่า “BANLIEUE 13” มีการทำภาพโปสเตอร์
และใบปิดหนังเลียนแบบ “องค์บาก”
แต่ปรากฏว่าภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวกลับไม่ประสบความสำเร็จ
และได้เรตติ้งแค่ระดับ 5.5 ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า
การเลียนแบบวัฒนธรรมของไทยเป็นไปไม่ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น